[su_heading size=”20″]คาถาสาปแช่งแรงๆเห็นผลเร็ว[/su_heading]
เท่าที่ได้ยินมา ทำอะไรใส่คนอื่นนี่ ของอาจตีกลับได้ ถ้าเขามีของขลัง หรือ จิตแรงพอที่จะส่งของกลับ หรือมีคนแก้ คุณเองมีสิทธิโดน ของของคุณเองครับ
ผมเคยเล่าไว้ในกระทู้เก่าๆเรื่อง ท่านผู้มีบารมี ท่านหนึ่ง ใน กทม มีสุดยอดพระเครื่องพระบูชา เต็มบ้าน เต็มคอ ยังเจอดี ต้องเข้านอน รพ และ ขอย้ำคำว่า สุดยอดพระเครื่องพระบูชา
พวกลูกน้อง เชื่อว่า ท่านโดนของ ของท่านเอง จริงไม่จริงนี่ ผมไม่กล้ายืนยันนะ
แต่ในส่วนตัว ผมก็ว่า ท่านโดนดี แน่ๆ แต่ของของใคร นี่ ผมก็ว่า น่าจะเป็นของของท่านเอง
ถ้าโดนแกล้ง โกรธแค้น แสนสาหัส ขอแนะให้สวด คาถา ลพ เดิม วัดหนองโพ น่าจะเหมาะกว่า
นะโม ๓ จบ
พุทธัง รักษา
ธัมมัง รักษา
สังฆัง รักษา
ศัตรูมาบีฑา วินาศสันติ
สวด ๓ ๕ หรือ ๙ จบ
ว่ากันว่า คนที่จะสาปแข่งให้ได้ผลนั้น ต้องมีจิตแค้นอาฆาตมาก และเป็นคนที่ดีประพฤติตัวดี พูดจริงทำจริง จะส่งผลให้คำแช่งนั้นมีความรุนแรงและเห็นผลเร็วมากขึ้น ตัวอย่างเคสนึง
ยายเราเคยเลี้ยงหมาตัวนึง แล้วมันหายไปสองสามวัน วันต่อมาเจอมันเป็นศพนอนอยู่หน้าบ้าน
สภาพคือโดนฟันเป็นสิบแผล เหวอะไปหมด ขาหลังขาดไปข้างนึงด้วย
เข้าใจว่ามันคงกระกระสนมาตายที่บ้าน หรือไม่ก็มีคนเอามาทิ้ง
ยายเราก็พนมมือออกปากแช่งเลยค่ะ ว่าใครทำหมาเป็นแบบนี้ขอให้ มีลูกก็โดนล้างผลาญ เดินได้ก็ขอให้เดินไม่ได้
หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณยายที่อยู่ที่ดินติดกัน ถูกลูกๆรวมหัวกันไล่แก ต้องไปอยู่วัด ทรัพย์สมบัติก็ไม่มีเพราะยกให้ลูกไปหมดแล้ว
จากนั้นไม่นานก็เป็นอัมพฤกษ์ เดินไม่ได้
ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกี่ยวกัน
แต่ตอนหลังเขามาขออโหสิกรรมกับยายเรา ประมาณว่าพระท่านดูดวงให้ แล้วเจอว่ามีคนสาปแช่งไว้ ให้มาขออโหสิ
เขาก็เลยมาขออโหสิกับยายเราน่ะค่ะ ถึงได้รู้ว่าแกเป็นคนทำหมา
พอขออโหสิไปแล้ว แกก็ดีขึ้นนะ คือยังเป็นอัมพฤกษ์อยู่ แต่อย่างน้อยลูกก็ไปรับกลับมาอยู่บ้าน ปลูกกระต๊อบเล็กๆให้แกอยู่น่ะค่ะ
เช่นพวกปากเสียมาระราน ท่านก็แช่งให้เป็นใบ้เป็นการสั่งสอน
และก็เป็นเดี๋ยวนั้นทันที แต่พอขอขมา่ท่าน ท่านก็แก้ให้หาย
เรื่องอำนาจจิตมีอีก เช่น ใช้อำนาจจิตเพ่งมองไปที่ใคร
คนนั้นถึงขั้นขาดใจตายทันทีไปเลยก็มี(ตายแล้วตายเลย) หรือสั่งให้กลายเป็นหินก็มี(อันนี้แก้ได้)
**คนธรรมดาไม่มีอำนาจบีบคั้นธาตุขันธ์ผู้อื่นขนาดนั้นหรอก
ถ้าเอาขนาดนั้นคนนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีอำนาจจิตถึงขึ้นเหาะได้เลยละ
ไม่ต้องใส่ใจ หากคนอื่นคิดไม่ดีกับเรา เราอโหสิให้ไป
จะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นบารมีกับเราเอง
ตำนานการสาปแช่ง
อาจารย์ธรรมจักร สิงห์ทอง คณาจารย์สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง ได้เล่าถึงเรื่องนี้มีตำนาน ของการสาปแช่งว่า ในคำภีร์ ธรรมบทขุททกนิกาย ยมกวรรค เรื่องที่ ๓ มีความเป็นมาดังนี้
ใน อดีต มีพระดาบสสองรูป รูปหนึ่งชื่อ เทวละ อีกรูปหนึ่งชื่อ นารทะ ได้เข้าไปขอพักอาศัย อยู่ที่โรงงานปั้นหม้อดิน ซึ่งเจ้าของโรงงานก็อนุญาตโดยดี โดยเทวลดาบสได้เข้ามาขอพักก่อน ต่อมาในวันเดียวกันนารทดาบสก็มาถึง และเข้าไปขอพักอาศัยด้วย พระดาบสทั้งสอง ได้สนทนาทำความรู้จักกันตามสมควรแล้ว พอถึงเวลาจะนอน นารทดาบส ก็สังเกตเห็นว่าดาบสอีกรูปหนึ่งนอนที่บริเวณใกล้ประตูทางออก เผื่อว่าตนออกมาทำธุระส่วนตัว จะได้ไม่ต้องเดินผ่านไปใกล้ท่าน จากนั้นก็นอน
ส่วน เทวลดาบส เวลาจะนอนกลับไม่นอนในที่ที่เดิม ขยับออกไปนอนขวางประตูเอาไว้ พอตกกลางดึก นารทดาบสลุกเดินออกไปห้องน้ำ ก็เหยียบเอาที่ชฎาของเทวละเข้า ทำให้แกร้องเอะอะโวยวายว่า ใครเหยียบเรา นารทะก็บอกว่า” ผมนารทะเองครับท่าน”
“คุณมาจากป่าแล้วถือดียังไงถึงได้มาเหยียบชฎาเรา”
“ผมไม่ทราบว่าท่านนอนหันศีรษะมาทางนี้ เพราะก่อนนอนเห็นท่านนอนอยู่ด้านโน้น ผมขอโทษ”
ใน ขณะที่เทวลดาบสกำลังบ่นพึมพำคล้ายคนหัวเสียเพราะถูกเหยียบชฎา นารทดาบสก็ออกไปข้างนอกเพื่อทำธุระส่วนตัว เทวลดาบสคิดว่า ต้องย้ายที่นอนใหม่ ไม่อย่างงั้นต้องโดนมันเหยียบอีกแน่
เสร็จ แล้วก็ลุกขึ้น หันศีรษะไปอีกทางหนึ่ง นารทะกลับเข้ามาก็คิดว่า เมื่อสักครู่ท่านเทวละนอนหันศีรษะมาทางนี้ เดี๋ยวเราต้องเดินไปทางปลายเท้าท่านจะเหมาะกว่า จึงเดินหลบไปอีกทางหนึ่ง
แต่ ทว่าพอเดินไปได้ไม่ไกลก็เหยียบที่คอของเทวละเข้าอีกจนได้ เสียงเทวละร้องเอะอะโวยวายลั่นโรงงาน เมื่อตอนก่อนออกไปท่านเหยียบชฎา เราก็พอทน แต่พอกลับเข้ามากลับมาเหยียบที่คออีก “เราทนไม่ไหวแล้วเราขอสาปแช่งท่าน”
“ท่าน ครับ ผมขอโทษ ผมไม่มีเจตนาจริงๆ และก็ไม่รู้ว่าท่านนอนหันศีรษะกลับไปอีกทางหนึ่ง อย่าให้ถึงกับต้องมีการสาปแช่งกันเลยครับ และไม่ได้ต้องแช่งเพื่อเป็นการสั่งสอนให้ได้สำนึก”
จากนั้นเทวละก็กล่าวคำสาปแช่งนารทะว่า “พระ อาทิตย์ มีรัศมีแผ่กว้างออกไปได้ตั้งหนึ่งพันเท่า มีเดชกำหนดได้หนึ่งร้อยเท่า สามารถกำจัดความมืดได้ พรุ่งนี้เช้า พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมา ขอให้ศีรษะของท่านจงแตกออกเจ็ดเสี่ยง”
นา รทะ กล่าวว่า “ท่านครับ ผมบอกท่านแล้วว่า ผมไม่มีความผิดอะไร เพราะไม่มีเจตนา ท่านก็ยังสาปแช่ง ถ้าอย่างนั้น หากใครมีความผิด ศีรษะของผู้นั้นจงแตก”
จากนั้นนารทะก็ได้สาปแช่งกลับบ้าง แต่เนื่องจากพระนารทดาบสเป็นผู้ทรงศีลมีตบะบำเพ็ญบุญบารมีมานานจนบุญญาธิการ แก่กล้า พอเปล่งวาจาออกมักเป็นไปตามนั้น ดังนั้น ท่านนารทะจึงมาทบทวนว่า
ใครจะเป็นผู้ที่ต้องคำสาปกันแน่ ก็รู้ว่าเป็นท่านเทวละแน่นอน ทันใดนั่นเองความเมตตาก็ เกิดขึ้นภายในจิตใจของท่าน เกรงว่าศีรษะของท่านเทวละจะต้องแตกเพราะเรื่องเพียงเท่านี้เอง พอก่อนรุ่งอรุณ ท่านนารทะจึงได้ห้ามพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกำลังของอิทธิฤทธิ์ ชาวเมืองเห็นว่าได้เวลาสว่างแล้ว แต่พระอาทิตย์ไม่ขึ้นก็ร้อนใจ เข้าไปเฝ้าพระราชาทูลถามถึงเหตุที่เป็นอาเพศเช่นนั้น
พระ ราชาจึงตรวจดู งานราชกิจของพระองค์ทุกอย่างก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ในที่สุดได้ทราบความจริง ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จากนั้นก็เสด็จไปพบพระดาบสทั้งสอง พร้อมกับมีดำรัสกับนารทะว่า “ท่านนารทะ ชาวบ้านชาวเมืองลำบาก ทำงานไม่ได้ เวลานี้โลกมืดสนิท เป็นเพราะเหตุใด ขอให้ท่านช่วยบอกหน่อยเถอะว่า จะหาวิธีแก้ไขอย่างไร”
“มีอยู่ทางเดียวคือ ให้เทวละขอโทษอาตมา แล้วทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ”
เท วละเป็นคนดื้อรั้นไม่ยอมขอโทษไม่ยอมรับเงื่อนไขทุกอย่าง พระราชาจึงรับสั่งให้ทหารจับมาก้มกราบนารทะ ท่านนารทะจึงยอมยกโทษให้ และทูลพระราชาว่า “เทวละ ยอมขอโทษแบบไม่เต็มใจ ถึงยังไงศีรษะก็ต้องแตกแน่นอน ถ้าพระอาทิตย์ขึ้น เอายังงี้ก็แล้วกัน ที่นอกเมืองมีสระน้ำอยู่ ให้ท่านใช้ดินเหนียวก้อนโตๆ เกือบเท่าศีรษะทูนไว้บนหัว แล้วให้ท่านลงไปแช่อยู่ในน้ำ พออาตมาคลายฤทธิ์แล้วพระอาทิตย์ก็จะขึ้น จากนั้นก้อนดินที่ศีรษะก็จะแตก พร้อมกับให้ท่านดำลงไปในน้ำแล้ว ไปโผล่เสียที่อื่น เพียงเท่านี้ก็จักไม่มีอันตรายแก่เทวละเลย”
เมื่อ ได้ปฏิบัติตามที่ นารทะแนะนำทุกอย่าง ทันทีที่แสงเงินแสงทองตั้งขึ้น ก้อนดินที่ตั้งอยู่บนศีรษะ ของเทวละก็แตกแยกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง เทวละก็พ้นจากอันตรายพ้นจากคำสาปอาถรรพณ์ทันที พร้อมกับการสำนึกได้ว่า ได้ทำผิดพลาดไป
Cr: พลังจิตดอทคอม / พันทิป
บางครั้ง มันมากขึ้นทุกวันเพราะเราไม่คิดทำร้ายใครสงบแต่มันผ้าดำมาปั่นหัวรบกวนตลอดไอ้สายพิน
ลงเพื่อจะบอกว่าอโหสิกรรมนิน่าเพื่อ
เชื่อคะ
เรามนุสย์อโหสิกรรมแต่น้องสาวเราที่เป็นพญานาคยังโกรดอยู่